ปัจจุบันมีการใช้ยาแก้อาการข้อเข่าเสื่อมหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นยาลดความเจ็บปวดอย่างกลุ่มพาราเซตามอลหรือ NSAIDs ยากลุ่มมอร์ฟีน หรือกลุ่มอื่นๆ และยาแก้ข้อเข่าเสื่อมอีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ กลูโคซามีน ซัลเฟต (Glucosamine Sulfate) หรือชื่อทางการค้าที่เรียกว่า ไวอาทริล (Viatril-S) ซึ่งจะเป็นตัวที่ช่วยบำรุงข้อเข่าและกระดูกอ่อนบริเวณเข่าได้โดยตรง ช่วยฟื้นฟูสภาพเข่าไม่ให้โรคดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากเกินไป
ไวอาทริล-เอส คืออะไร
ไวอาทริลคือกลูโคซามีน ซัลเฟต สารกลุ่มที่มีฤทธิ์ช่วยซ่อมแซมและบำรุงข้อเข่ากับกระดูกอ่อนที่เป็นกุญแจหลักในการทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อม เพราะเมื่อน้ำในข้อเข่าลดลงจากวัย ก็ทำให้กระดูกข้อเข่าทำงานหนักขึ้น ถูกเสียดสีมากขึ้นจนเสียหาย กลายเป็นตะปุ่มตะป่ำหินงอกหินย้อยของบริเวณเข่า เมื่อออกฤทธิ์ ไวอาทริลจะช่วยปกป้อง ซ่อมแซม และบำรุงข้อเข่าไว้ไม่ให้เกิดการเสื่อมมากจนเกินไป ช่วยชะลอการดำเนินของโรคข้อเข่าเสื่อมให้ช้าลง
วิธีรับประทานไวอาทริล-เอส
ไวอาทริลมีขายในท้องตลาดปัจจุบันมีแบบแคปซูล 500 มิลลิกรัม ซึ่งรับประทานวันละสามครั้ง เช้า เที่ยง เย็น นอกจากนี้ไวอาทริลยังมีขายในรูปแบบของผงบรรจุซองละลายน้ำได้ปริมาณ 1,500 มิลลิกรัม รับประทานก่อนอาหารวันละหนึ่งครั้ง และรูปแบบฉีดที่ใช้กันไม่ค่อยแพร่หลายเท่าสองรูปแบบแรก การรับประทานไวอาทริลนั้นแล้วแต่ความสะดวกของผู้ป่วยเป็นหลัก และเนื่องจากไวอาทริลจะออกฤทธิ์เห็นผลเต็มที่ต้องใช้เวลาประมาณสามเดือน ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานติดต่อกันอย่างน้อยสามเดือนเพื่อให้ยาเริ่มออกฤทธิ์และเห็นผล เมื่อยาได้ระดับสำหรับการรักษาข้อเข่าเสื่อมแล้ว ยาจะคงอยู่ในร่างกายไปอีกอย่างน้อยสองเดือน ดังนั้นบางครั้งจึงจะเห็นว่า หมออาจจะให้เราหยุดยาประมาณสองเดือน เพราะยาในร่างกายได้ระดับที่พอเหมาะ ก่อนจะค่อยกลับมารับประทานใหม่อีกครั้งเมื่อระดับยาลดลง
ผลข้างเคียงของการรับประทานไวอาทริล – เอส
ที่จริงแล้วไวอาทริล-เอสเป็นยาที่มีความปลอดภัยในระดับสูง แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่าไวอาทริลอาจมีผลต่อการคุมน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวานได้บ้าง หรือคนไข้ที่มีโรคประจำตัวเยอะๆ อาจต้องระมัดระวังในการรับประทานไวอาทริลและยาอื่นๆ ด้วยเช่นกัน การรับประทานไวอาทริลทุกครั้งจึงควรอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของเรา
ไวอาทริล-เอส เป็นยาที่ค่อนข้างดีต่อร่างกายของเรา อย่างไรก็ตามการรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียได้ เราจึงควรรับประทานอย่างพอดีๆ และเชื่อฟังคำบอกของแพทย์ นอกจากการรับประทานยาแล้ว การหมั่นออกกำลังกาย การลดความเสี่ยงเช่น น้ำหนัก ก็เป็นยาสำคัญในการรักษาอาการข้อกระดูกเสื่อมเช่นกัน